ลองขึ้นไปยังจุดสูงสุดของวัดไตรมิตรและเข้าไปในพระวิหารอันสว่างไสว ไล่สายตาช้า ๆ ขึ้นไปจนคุณได้พบกับสายตาที่จ้องมองมาด้วยความสงบของพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยน้ำหนักกว่า 5.5 ตัน และความสูง 3-4 เมตร หลวงพ่อทองคำ หรือ พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ถือว่าเป็นหนึ่งในโบราณวัตถุที่มีมูลค่าสูงที่สุดของประเทศ ประมาณการว่าทองคำ 18 กะรัตที่นำมาสร้างเป็นองค์พระนั้นมีมูลค่าสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สิ่งที่ทำให้หลวงพ่อทองคำประมาณค่าไม่ได้ก็คือประวัติของพระพุทธรูปองค์นี้ คาดกันว่า หลวงพ่อทองคำมีอายุประมาณ 700 ปี และผ่านประวัติศาสตร์ชาติไทยมาแล้วถึง 3 ยุค เรื่องราวการเดินทางมาประดิษฐานที่วัดไตรมิตรของหลวงพ่อทองคำเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยตำนานมากมาย
นักวิชาการสันนิษฐานว่า หลวงพ่อทองคำ น่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13-14โดยดูจากพระเศียรรูปไข่ ซึ่งเป็นลักษณะที่เด่นชัดของสมัยสุโขทัย บ้างก็ว่าเพราะรูปหล่อโลหะสร้างขึ้นในอินเดียในช่วงเวลานั้น ก่อนที่จะส่งต่อไปยังประเทศอื่น ๆ ส่วนต่าง ๆ ของพระพุทธรูปจึงอาจมาจากอินเดีย ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1400 พระพุทธรูปถูกย้ายมายังกรุงศรีอยุธยา ในระหว่างสงคราม เพื่อป้องกันผู้บุกรุกเข้ามาขโมยพระพุทธรูป จึงมีการหุ้มองค์พระด้วยปูนหนาหลายชั้น การปกปิดนี้ทำหน้าที่ได้ดีมากจนทำให้พระพุทธรูปรอดอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของกรุงศรีอยุธยาแม้ว่ากรุงจะแตกไปแล้ว ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ1800 มีการย้ายพระพุทธรูปไปยังวัดโชตินารามในเยาวราช และเป็นอีกครั้งที่วัดขาดการบูรณะปฏิสังขรณ์จนทรุดโทรมและองค์พระพุทธรูปก็ถูกลืม จนมีการตัดสินใจย้ายองค์พระมายังวัดไตรมิตร ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ.1955 ขณะที่คนงานกำลังเคลื่อนย้ายพระพุทธรูป โชคชะตาก็ตัดสินว่าถึงเวลาแห่งการเกิดใหม่ของหลวงพ่อทองคำแล้ว ในตอนนั้นเชือกเส้นหนึ่งขาดลงทำให้องค์พระตกกระแทกพื้น ปูนที่ฉาบหุ้มไว้กระเทาะแตกออกเป็นครั้งแรก คนงานจึงได้เห็นเนื้อทองส่องแสงอยู่ภายใน และเรื่องราวหลังจากนั้นก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ต่อมา
ทุกวันนี้ วัดไตรมิตรบอกเล่าเรื่องราวของการเดินทางสุดแสนมหัศจรรย์ของหลวงพ่อทองคำ โดยมีพื้นที่ 1 ชั้นเต็มอุทิศให้กับประวัติขององค์พระ รวมตั้งแต่การสร้างจนถึงการดูแลรักษา ทางวัดยังตระหนักถึงความสำคัญของท้องถิ่นในฐานะส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรม จึงมีการสร้างศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราชเพื่อแสดงถึงการอพยพย้ายถิ่นของชาวจีนมายังกรุงเทพฯ