เพื่อที่จะเห็นคุณค่าของมัสยิดกูวติล คุณจะต้องรู้จักสกุลบุนนาค หนึ่งในตระกูลเก่าแก่ที่เป็นที่รู้จักของประเทศไทย สกุลบุนนาคเป็นตระกูลขุนนางที่มีอำนาจ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพ่อค้าชาวเปอร์เซีย เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อพ่อค้าชาวเปอร์เซีย เฉกอะหมัด เข้ามาตั้งรกรากในสยามประมาณปี 1600 และทำการค้าขายจนกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยใจกรุงศรีอยุธยา จากการรับใช้เชื้อพระวงศ์ และอาณาจักรไทยในกิจการต่าง ๆ เฉกอะหมัดจึงกลายเป็นที่โปรดปราน เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในช่วงปี 1700 ศูนย์กลางอำนาจของสยามย้ายมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งลูกหลานของสกุลบุนนาคที่นับถือศาสนาพุทธก็ยังคงเป็นที่โปรดปรานของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และยังคงเป็นสกุลที่มีอิทธิพลสืบต่อมา
ในช่วงปี 1800 ทายาทของสกุล นายทัต บุนนาค ผู้ซึ่งเริ่มเข้ารับราชการด้วยตำแหน่งมหาดเล็ก และกลายมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นทั้งของมัสยิดในปัจจุบัน ในขณะที่กรุงธนบุรีเป็นเมืองท่าอันเฟื่องฟู พื้นที่นี่เป็นที่ตั้งของโกดังเก็บของ เมื่อกลุ่มพ่อค้าชาวอินเดียจากเมืองสุรัตเดินทางมาถึงประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 นายทัตได้มอบอาคารให้กับกลุ่มพ่อค้าเพื่อใช้เป็นมัสยิด การกระทำนี้อาจเป็นเรื่องที่ดูแปลกเพราะในขณะนั้นตระกูลบุนนาคได้กลายเป็นชาวพุทธเต็มตัวแล้ว แต่ก็ถือเป็นการแสดงน้ำใจต่อบรรดาพ่อค้า ต่อมา พ่อค้าชาวอินเดียเหล่านี้ก็กลายเป็นล่ามในการทำธุรกิจให้กับตระกูลบุนนาค หนึ่งในนั้น คือ อาลี บาย นานา ซึ่งต่อมากลายเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งอาณาจักรธุรกิจนานา ถ้าอยากจะรู้ว่าตระกูลนานามีความสำคัญมากขนาดไหน ก็ลองคิดว่ามีการตั้งชื่อถ.สุขุมวิท ซ.4 ว่าซ.นานา มีซ.นานาในเยาวราช รวมถึงชื่อสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสนานา ที่ล้วนมาจากธุรกิจอันมากมายของตระกูลและการเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมากในบริเวณนั้น
ทุกวันนี้ มัสยิสกูวติลยังคงทำหน้าที่เป็นศาสนาสถานของชุมชนบนริมฝั่งแม่น้ำในเขตคลองสาน ป้ายข้อมูลด้านหน้าของมัสยิดบอกเล่าถึงความสำคัญของมัสยิดที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง 2 ตระกูลของไทย และเล่าถึงโชคชะตาของพวกเขาว่ามาผูกพันกันได้อย่างไร ถ้าคุณได้มาเยือนเขตคลองสาน อาจจะผ่านมาเที่ยวสวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอันเขียวชอุ่ม ลองเดินไปทางแม่น้ำตามตรอกดิลกจันทร์ ชมมัสยิดและความน่าอัศจรรย์ที่การกระทำของคน ๆ หนึ่งสามารถทำให้อีกคนหนึ่งรุ่งเรืองได้